เปิดทุกช่วงชีวิตของพิธีกรชื่อดังอย่าง วู้ดดี้ วุฒิธร มิลินทจินดา ที่จะมานั่งเล่าเรื่องราวชีวิตที่ผ่านมาของตัวเองในรายการ Level Up Thairath Online Originals
ซึ่งวู้ดดี้ได้เปิดใจเล่าแบบหมดเปลือกถึงชีวิตในแต่ละช่วงวัยของตัวเอง ตั้งแต่วัยเด็กที่ต้องถูกบูลลี่และทำร้ายเพราะเป็น LGBTQ และเริ่มทำตามความฝันของตัวเองที่อยากจะเป็นนักแสดงแต่ได้เป็นดีเจที่คนไม่ชอบมากที่สุด จนถึงวันหนึ่งที่เริ่มเหนื่อยและมีคำถามกับตัวเอง จนต้องเปลี่ยนวิธีการทำงานใหม่ และได้พบกับความสุขในชีวิตให้ฟังว่า
เกมโอเวอร์ก็เริ่มต้นได้ใหม่ เวลาล้มก็ต้องลุก เวลาเศร้าก็ต้องอัปตัวเองขึ้นมา ต้องยอมรับว่าชีวิตมีความหลากหลาย ความสนุกคือเราได้เห็นทุกอย่างเลย ก่อนหน้านี้ไม่อยากเห็นความทุกข์ ไม่อยากเห็นความเศร้า แต่พอมันมาก็รู้สึกว่าเจ๋งดี พอสุขมาเดี๋ยวมันก็ไป แค่จอยกับมันไปเรื่อยๆ ถ้าคาดหวังมันจะเหนื่อยมาก และจะผลักดันเหมือนที่เราเป็นมาตลอด 20 กว่าปีในชีวิต จะไปข้างหน้าตลอดจนหายใจไม่ออก ชีวิตไม่ใช่แต่จะเลเวลอัป ดาวน์บ้างก็ได้ ก็แค่ทำตัวเล็ก ตอนนี้เรามีพลังเยอะมาก ก็จะรู้สึกว่าตัวใหญ่ พอหมดพลังก็จะตัวเล็ก แต่ไม่ใช่ว่าเราไม่มีความสุข
สู้ชีวิตตั้งแต่เด็ก ภาพที่มีความสุขที่สุดคือตอนที่อยู่สิงคโปร์ คุณพ่อเป็นนักการทูต ก็จะพาเราไปประเทศต่างๆ มีความสมบูรณ์แบบมาก ในอดีตจะนึกถึงการอยู่ด้วยกันแค่ 4 คน ต้องปรับจูนกับสังคม มีความท้าทาย เจอการเหยียด ถามว่าขี่ช้างไปโรงเรียนหรือเปล่า จนเข้าไฮสคูล ก็ถูกบูลลี่เพราะว่าเราชัดเจนว่าเป็น LGBTQ คนไม่เห็นด้วยในสมัยนั้นก็จะลงไม้ลงมือ ตอนนั้นไม่รู้ว่าเขาทำเพื่ออะไร และก็ได้คำตอบว่าเขาก็แค่ไม่เข้าใจ
เราไม่เหมือนเขา เขาไม่เหมือนเรา เราต้องเข้าใจเขา มันซับซ้อนมากเลยนะ ถ้ามองว่าเราเหยื่อ เราจะทุกข์มาก ก็แค่เปลี่ยนความคิด การโดนบูลลี่ การโดนเหยียดก็ทำให้เราผ่านทุกอย่างได้ ทำให้รู้สึกแกร่ง โดนปฏิเสธก็ต้องไปต่อ
เราอยากเล่นละครเวทีมาก ไปสมัครก็ไม่ผ่าน เราก็โอเค ไม่เป็นไรก็สมัครต่อไป แคสต่อไปเรื่อยๆ เพิ่งรู้ตัวว่าฝันจริงๆ คืออยากเป็นนักแสดง การเป็นพิธีกรเป็นแค่สิ่งที่เราทำได้ดี ตอนอายุ 10 กว่าขวบก็ไล่ล่าหาฝัน พอกลับมาไทย ฝันนั้นก็ถูกตัดไปเลย เพราะตอนที่กลับมาคือพูดไม่ชัด กลับมาก็มีครูสอนพิเศษภาษาไทย เพื่อที่จะพูดให้ชัดๆ ตอนเด็กๆ เป็นการใช้ชีวิตที่มีความสุขที่สุดเพราะได้ตามหาฝันด้วย
พอกลับมาไทย ชีวิตตอนนั้นมึนๆ งงๆ แต่มีความสุขมากเพราะได้กลับมาอยู่กับยาย พอกลับมาก็ต้องมาหาเพื่อนใหม่ เป็นอะไรที่ท้าทาย และก็ถูกสังคมตั้งคำถามว่าเราเป็นหรือไม่เป็น เพราะเราต้องเก็บ ตอนอยู่ที่อเมริกาเราก็มีแฟนที่พ่อกับแม่ไม่ทราบ พอกลับมาเมืองไทยก็จะเริ่มต้นใหม่ เราจะเป็นผู้ชายแล้วจะชอบผู้หญิงเพื่อสังคมจะได้ยอมรับ แต่สุดท้ายก็ค้นพบว่าเราต้องจริงใจกับตัวเอง ก็เลยเป็นตัวของตัวเอง
มองย้อนกลับไป พ่อแม่รักเรามาก เป็นอะไรก็ได้ ลึกๆ คุณยายรู้ตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว คิดว่าความอบอุ่นที่ผู้ใหญ่มีให้กับเราเป็นตัวของตัวเองที่บ้าน มันจึงเป็นพื้นที่ปลอดภัย เลยกล้าไปเผชิญกับสังคมได้
ตอนที่เรียน ก็ไม่ได้เรียนนิเทศฯ แต่เรียนเศรษฐศาสตร์ และช่วงฝึกงานก็ไปฝึกงานที่กองฯ แต่ไม่ได้อยากเป็นนักแสดงเพราะรู้ว่าตัวเองไม่คู่ควร ภาษาไม่ได้ หน้าตาไม่ได้ อีกหลายอย่าง หลอกตัวเองว่าเราคงไม่ได้ หาอย่างอื่นในวงการบันเทิงทำ งานแรกในวงการบันเทิงคือเล่นเอ็มวีเพลง เล่นเป็นตัวประกอบ ออกมา 2 วินาที ได้เงิน 500 บ้าน มีความสุขมาก ออก 2 วิแต่ซ้อม ทำยังไงให้เด่น ทำยังไงให้คนมองเรา ทำยังไงให้เด่นกว่านักร้อง คนหิวแสงก็ยังได้แสง ยอมรับว่าการเป็นนักแสดงก็ต้องหิว ถ้าไม่หิวก็ไม่มีตัวตน แต่ต้องหิวให้เป็น อยู่ในแสงที่พอเหมาะพอควร แสงมาตรงไหนเราไป
สุดท้ายมีโปรดิวเซอร์ คนนึงติดต่อมาหาเพราะอยากได้ดีเจ 2 ภาษา ให้ไปออดิชั่นแล้วก็ได้ และเป็นงานที่ตอบโจทย์มาก การจัดรายการที่ได้เป็นตัวของตัวเองที่สุด แต่ก็เจอคนว่าในโซเชียลว่ากระแดะ และในทุกๆ เดือน จะต้องมีการมาดูการจัดอันดับดีเจว่าคนฟังชอบใครมากที่สุด อันดับ 1 ที่คนไม่ชอบมากที่สุดคือวู้ดดี้
ก็มีคำถาม ทำไมเป็นอย่างนี้ เกลียดเราใช่มั้ย ไม่เป็นไรเราก็จะโนสนโนแคร์ และก็เชิดๆ ตั้งแต่วันนั้นมาก็เป็นอีกคาแรคเตอร์หนึ่งเลย ในเมื่อสังคมไม่รักเรา เราก็จะแรง มั่นกว่าเดิม 10 ปีที่ทำงานอยู่ด้วยความมั่นใจ ตอนที่ทำรายการทอร์คบอกเลยว่าไม่เป็นตัวของตัวเองเลย แสดงอยู่ 7-8 ปีในการทำเกิดมาคุย ชีวิตคือการแสดง
แต่ตอนนี้ทำไม่ไหวแล้ว สัมภาษณ์ตามกระแส ตามทุกอาทิตย์ เหนื่อย ซึ่งเมื่อก่อนชอบแต่ตอนนี้ไม่เป็นแล้ว พอทำไปเรื่อยๆ ก็คิดว่า เราเป็นสื่อ ต้องสร้างประโยชน์ให้กับคน แทนที่จะคุยเรื่องซุบซิบ สัมภาษณ์ดาราที่เป็นข่าว ก็ปรับรายการเป็นเชิงสร้างสรรค์ เข้าเรื่องชีวิต การเปลี่ยนแปลง เรตติ้งตกเลย ของดีคนไม่อยากดู คนอยากดูดราม่า แต่ใจไม่อยากไปแล้ว ก็บอกตัวเองไม่เป็นไร
พอเปลี่ยนสไตล์การทำรายการ คนก็บอกว่าไม่แรงเลย ไม่เป็นตัวของตัวเองเลย ในตอนที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากการทำรายการ ตอนนั้นมีทั้งความสุขมากและไม่มีความสุขในเวลาเดียวกัน ตอนนั้นได้เรตติ้ง ได้ชื่อเสียง แต่ไม่มีเพื่อน ไม่มีดารามาคุยกับเรา เพราะเขามาออกรายการแล้วเขาโดนด่า เพราะเขามาแก้ข่าว แต่คนไม่เชื่อ เขามาออกรายการก็มีแต่เสียกับเสีย คนโดนด่าเพิ่มขึ้น และเราก็ได้ผลเสียตอบกลับมาว่าทำไมยังทำรายการนี้ ตอนนั้นมันย้อนแย้งในตัวเอง เพราะมันเป็นรายการที่เราปั้นมากับมือ สร้างมากับมือแต่ชิงชังมัน เป็นความสับสนในตัวเองตอนนั้น ก็เลยยุติ และตกผลึกว่าจะเอายังไง และคิดว่าถ้าทำแล้วไม่เกิดแรงบันดาลใจ ไม่เกิดพลังงานดีๆ ไม่เปิดความสุขกับตัวเรา ก็ไม่ต้องทำ ก็ทำใหม่แบบออนไลน์ เป็นพลังงานให้กับชีวิตและมีความสุขในทุกวัน
เพราะเป็นคนที่ต้องเป๊ะ และคิดเยอะ คิดตลอดเวลา คิดวน คนจะชอบเราไหม คนจะไม่ชอบเราไหม ตอนที่มีอาการแพนิกครั้งแรก กำลังนั่งกินข้าวกับ เจนนี่-ลิลลี่ เพื่อชวนทำรายการ แต่ไม่กล้าบอกเขาว่าเรากำลังจะตาย หายใจไม่ออก ก็ขอตัวก่อนแล้วไปหาหมอ ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเป็นแพนิกเลย คิดว่าปัญหาจิตเวชไม่เกิดขึ้นกับตัวเองแน่ แต่เพราะเป็นคนไม่ปล่อยวางก็เลยเป็น เวลามีความคิดกังวลก็จะคุยกับตัวเอง จนบางครั้งก็คิดว่าตัวเองเป็นบ้าหรือเปล่า คุยกับตัวเองทุกวันก่อนนอน ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ท้าทายมาก ต้องมองให้มันสนุก
มีเจ้าชายสิทธัตถะเป็นไอดอล อยากใช้ชีวิตแบบนี้ได้ เรามองแบบมุมมองวิทยาศาสตร์ ไม่ได้มองแบบต้องจุดธูปเทียนกราบไหว้ การปฏิบัติมันเป็นสากลมาก ก็เลยชอบมาก แต่ไม่ได้คิดปล่อยวางทุกเรื่องนะ อย่างเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผู้อื่น ก็ต้องจัดการให้สมูท ไม่ใช่ปล่อยวางจนไม่แคร์อะไร เราจะกลายเป็นแค่ถุงพลาสติกที่ล่องลอยในอากาศ เกิดเป็นคนต้องสร้างอะไรบางอย่างไว้ ไม่ใช่ไปแล้วก็ควรจะทิ้งอะไรดีๆ กับสังคม ตรงนี้จะไม่ปล่อยวาง ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป
ในวันนี้การที่ดูแลตัวเองทั้งภายในและภายนอก มันเป็นอะไรที่ดีมาก เพราะเราใช้ร่างนี้เปลืองมาก ตลอด 40 กว่าปี ไม่เคยเบรกเลย การให้คุณค่าและรักตัวเองคือการดูแลตัวเอง ตอนนี้ทำได้ดีมากและมีความสุขมากกับตัวเอง ก็ทำให้เห็นสัญชาตญาณชัดขึ้นว่าอะไรผิดอะไรถูก
ตอนนี้ได้เป็นตัวเองที่สุดแล้ว แต่ในอนาคตอาจจะเปลี่ยนก็ได้นะ เพราะเราไม่ยึดติด เกิดมาชาติเดียวเป็นได้หลายอย่าง เปลี่ยนไปตามทิศทางของลม แต่ตอนนี้มันดีที่สุดแล้ว มีความสุข ได้ล่าฝัน ตื่นมาแล้วชีวิตมีความหมาย
Comment